ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

7 อุปนิสัยการคิดเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสมาคม


สมาคม และองค์การไม่หวังผลกำไรอื่นๆ จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ของตนเอง จึงต้องมียุทธศาสตร์ มีแผนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น และนี่คือ 7 อุปนิสัยในการคิดเชิงกลยุทธ์ ที่ช่วยนำสมาคมของคุณให้อยู่บนเส้นทางสู่วัตถุประสงค์ที่วางไว้อย่างเหนือชั้น

1. สรรหาบุคคลที่ "ใช่" เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ

คณะกรรมการของสมาคม จะเป็นผู้กำกับด้านนโยบายทิศทางของสมาคม เป็นผู้ชี้ทิศทางการเดินของสมาคม การมีบุคคลที่ใช่จึงมีความสำคัญต่อสมาคม

เราไม่สามารถได้"พรุ่งนี้" ด้วยนักคิดแบบ "เมื่อวานนี้" การมีกรรมการใหม่ๆเข้ามามีส่วนร่วม จะช่วยให้แนวความคิดของกรรมการนอกจากจะมีความหลากหลายแล้ว ยังมีความสดใหม่อีกด้วย

แม้ว่าการปรับเปลี่ยนกรรมการจะมีความจำเป็น แต่การเปลี่ยนตัวคณะกรรมการ มักเป็นเรื่องลำบากใจของทุกสมาคม การตั้งกฏระเบียบเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนกรรมการที่เหมาะสม จะช่วยลดปัญหานี้ได้


2. ท้าทายสมมุติฐานเดิม

"ทำแบบนี้เพราะเคยทำ" เป็นเหตุผลที่ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับในองค์การที่ต้องการก้าวขึ้นระดับถัดไป การตั้งคำถามท้าทายสิ่งที่สมาคมทำ นำไปสู่ความคิดใหม่ๆในการทำงาน จะช่วยให้เกิดวิธีใหม่ในการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือแม้กระทั่งแนวความคิดใหม่ในการบริหารงานตามวัตถุประสงค์ของสมาคม ซึ่งจะช่วยพาสมาคมให้ก้าวไปอีกขั้น


3. หมั่นตรวจสอบสภาพแวดล้อม

การเปลี่ยนแปลงภายนอกองค์การสามารถส่งผลกระทบต่อองค์การ การตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม อาจทำให้พันธกิจของสมาคมเป็นอันไร้ประโยชน์ หรือความสามารถหลักของสมาคมในการทำงานตามพันธกิจอาจไม่เพียงพอ


4. มองออกไปในอนาคตให้ไกลขึ้น

การมองไปให้ไกลมากขึ้น ทำให้สมาคมได้เห็นถึงโอกาสและอุปสรรคล่วงหน้า ส่งผลต่อการวางแผนงาน ทำให้จัดลำดับความสำคัญระยะสั้นได้ดี อีกทั้งหากสามารถมองเห็นโอกาสและอุปสรรคก่อน ย่อมมีเวลามากกว่าในการเตรียมงาน และคว้าโอกาสได้ก่อนผู้ที่เห็นโอกาสทีหลัง


5. การมุ่งเน้น

การทำงานหลายๆสิ่งพร้อมกัน จะเป็นการกระจายทรัพยากรเพื่อความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น คน, เงิน, เวลา ออกไปให้กับกิจกรรมหลายๆสิ่ง งานอาจเดินหน้าจำนวนมาก แต่คุณอาจพบไว่ ไม่มีงานใดเลยที่ไปถึงจุดที่น่าพอใจ

การทำงานเพียงไม่กี่สิ่งที่ถนัดและสำคัญ เพื่อทุ่มเททรัพยากรที่มีจำกัดลงไปให้กับงานสำคัญ จะช่วยให้ประสบสำเร็จมากกว่าการทำงานหลายๆสิ่งพร้อมๆกัน

หลายๆสมาคม จะพบว่ามีงานใหม่ที่สำคัญที่ควรทำ แต่การเพิ่มวัตถุประสงค์ใหม่เข้ามาโดยไม่ได้ตัดของเดิมออก จะลดทอนประสิทธิภาพในการสร้างความสำเร็จลง สมาคมจึงควรใช้พันธกิจของสมาคมเป็นตัวกรองเพื่อให้เหลือแต่สิ่งที่สมาคมต้องมุ่งเน้น


6.ฟัง

สมาคมตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างที่ชัดเจน โดยเฉพาะสมาคมที่ที่อยู่บนฐานสมาชิก ยิ่งจำเป็นต้องฟังเสียงสมาชิก และผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้มั่นใจว่าสมาคมได้ตอบสนองอย่างดี

ในการประชุมของสมาคม การมี Value Proposition-คุณค่าที่สมาคมมุ่งหมายจะส่งมอบให้แก่สมาชิก เป็นศูนย์กลางของการหารือ จะช่วยให้การประชุมหารือไม่ออกนอกวัตถุประสงค์


7. สร้างโอกาส

องค์การส่วนใหญ่มักปรับแผนยุทธศาสตร์ทุก 1-3 ปี แต่ความเปลี่ยนแปลงจะมาแบบไม่มีกำหนดแน่นอน หากสมาคมจะทบทวนยุทธศาสตร์ตามระยะเวลา อาจไม่ทันกับความเร่งด่วนของความเปลี่ยนแปลง เป็นการดีกว่า ที่จะได้จัดวาระการประชุมของคณะกรรมการในเรื่องยุทธศาสตร์โดยเฉพาะอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ ต่างหากจากการประชุมเรื่องอื่น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Funding Model เพื่อการบริหารชุมชนท่องเที่ยวนวัตวิถีอย่างยั่งยืน

นวัตวิถีคือโครงการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดรายได้กับชุมชน โดยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง กระตุ้นเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศให้มีความเข้มแข็ง เป็นโครงการที่ผนวกโครงการ OTOP เข้ากับการท่องเที่ยว โดยสร้างเส้นทางการท่องเที่ยวเมืองรองขึ้น แล้วส่งนักท่องเที่ยวเข้าชุมชน แทนที่จะดึงวิสาหกิจออกจากชุมชนสู่เมืองอย่างที่โอท็อปเคยทำด้วยการจัดงานแฟร์ แล้วให้สินค้าชุมชนต่างๆเหล่านี้มาออกร้านขายของปีละสามสี่เดือน ส่วนที่เหลืออีกปีละแปดเก้าเดือน ก็เคว้ง ว่างงาน กับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป งานของโครงการชุมชนท่องเที่ยวนวัตวิถี เริ่มตั้งแต่การค้นหาจุดเด่นของชุมชน ดึงมาพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว สร้างเรื่องราว เรื่องเล่า ผสานกับการให้ความรู้กับชุมชนในการสร้างรายรับจากนักท่องเที่ยวที่เข้าสู่ชุมชน นวัตวิถี จึงเป็นโครงการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน ภายใต้วิถีชีวิตปกติของชุมชนเอง อย่างไรก็ตาม หากต้องการทำให้โครงการมีความยั่งยืน ต้องมีการจัดการเพื่อให้การบริหารโครงการมีความต่อเนื่อง จำเป็นต้องมีการบำรุงรักษาและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การรักษาความสะอาด การรักษาความปลอดภัย การพัฒนาสินค้าและบริการให้มีความว้าว

ภาษีเงินได้ของสมาคม สมาคมการค้า และมูลนิธิ

มูลนิธิ สมาคม และสมาคมการค้า จัดเป็นองค์การไม่แสวงหากำไร แต่ไม่ถือว่าเป็นองค์การที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล จนกว่าจะได้รับการประกาศให้เป็นสถานสาธารณกุศลตามประมวลรัษฎากร มาตรา 47(7)(ข) องค์การไม่แสวงหากำไรที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แต่ไม่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้เหล่านี้ ต้องเสียภาษีเงินได้ โดยคำนวณจากเงินได้ที่ได้รับก่อนหักค่าใช้จ่าย เนื่องจากองค์การเหล่านี้ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าไม่หวังผลกำไรอย่างหน่วยธุรกิจทั่วไป ด้งนั้น องค์การไม่หวังผลกำไรแม้จะมีรายได้ และรายจ่า ย แต่หลักในการคำนวณภาษีเงินได้ จะคำนวณจากฐานคือเงินได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายใดๆ สำหรับอัตราภาษีขององค์การไม่หวังผลกำไรเหล่านี้ มีดังนี้ - กรณีเงินได้มาตรา 40(1)-(7) อัตราภาษีอยู่ที่ 10% ของเงินได้ - กรณีเงินได้มาตรา 40(8) เงินได้จากการพาณิชย์ อัตราภาษีอยู่ที่ 2% 🤞 🤞 🤞 ทั้งนี้ มีข้อยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้มารวมคำนวณภาษีใน 3 กรณีคือ 1. ค่าธรรมเนียม หรือค่าบำรุงที่เก็บจากสมาชิก 2. เงินบริจาค 3. เงินได้โดยเสน่หา วางแผนการจัดตั้งสมาคมของคุณให้สอดคล้องกับภาระภาษีด้วยนะ จะได้มีเงินไว้สร้างกิจกรรมตามวัตถุประสง

3 ข้อดีของการใช้อาสาสมัครในสมาคม และองค์การไม่หวังผลกำไร

องค์การไม่หวังผลกำไร อย่างเช่น # มูลนิธิ # สมาคม # สมาคมการค้า มีจุดเด่นหนึ่งที่เหนือกว่าหน่วยธุรกิจ นั่นคือความสามารถในการใช้ประโยชน์จากอาสาสมัคร อาสาสมัคร คือบุคลากรที่เป็นมืออาชีพในงานปกติที่อาสาสมัครเหล่านี้ทำงานเพื่อรับค่าตอบแทน แต่อาสาสมัครเหล่านี้กลับยินดีที่จะใช้ความรู้ความสามารถที่มี มาทำงานให้แก่องค์การไม่หวังผลกำไร โดยที่ค่าตอบแทนไม่ใช่ปัจจัยจูงใจ 3 ข้อดีของการใช้อาสาสมัครในองค์การไม่หวังผลกำไร 1. ลดภาระทางการเงิน ปัญหาใหญ่เรื่องหนึ่งของหลายๆสมาคมการค้า นั่นคือความจำกัดของงบประมาณที่จะใช้ในการทำกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ ในขณะที่มีกิจกรรมตามพันธกิจมากมายเหลือเกินที่ต้องทำ บ่อยครั้งที่ความไม่สัมพันธ์กันเช่นนี้ ทำให้สมาคมเหล่านี้ ต้องปรับลด หรือละทิ้งพันธกิจของตนเองไป อย่างที่กล่าวข้างต้น อาสาสมัคร คือผู้ที่ต้องการอุทิศความรู้ความสามารถของตนเองให้กับการทำงานเพื่อส่วนรวม โดยที่เงินไม่ใช่ตัวตั้ง ดังนั้น สมาคม หรือองค์การที่ไม่หวังผลกำไรอื่นๆที่มองเห็นความจริงข้อนี้ และสามารถทำให้องค์การ เป็นที่สะดุดตาของอาสาสมัครเหล่านี้ ก็จะได้มืออาชีพม